วันนี้ (3 มิ.ย.2568) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข เรียกประชุมด่วนทีมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเตรียมข้อมูลก่อนเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันพรุ่งนี้ (4 มิ.ย.) พร้อมเปิดเผยถึงประเด็นสำคัญที่มีการหารือ คือ ข้อกังวลเกี่ยวกับโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือสิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า กรณีที่มีกระแสข่าวระบุว่าระบบ 30 บาทกำลังจะล้มละลายนั้น ไม่เป็นความจริง จากข้อมูลที่ตรวจสอบพบว่าระบบยังดำเนินการได้อย่างมั่นคง และยังมีมาตรการรองรับเพื่อป้องกันไม่ให้ภาระของบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มสูงขึ้น
ในปี 2567 พบว่ามีการเข้ารับบริการในโรงพยาบาลมากถึง 306 ล้านครั้ง โดยกว่า 200 ล้านครั้งอยู่ภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และในจำนวนนี้ประมาณ 165 ล้านครั้งเป็นผู้ป่วยกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หากสามารถควบคุมหรือป้องกันโรคกลุ่มนี้ได้ ภาระงานของแพทย์จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ส่วนข้อร้องเรียนจากโรงพยาบาลและคลินิกที่เข้าร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เกี่ยวกับปัญหาสภาพคล่องและการเบิกจ่ายงบประมาณที่ไม่ครบถ้วน นายสมศักดิ์อธิบายว่า งบประมาณของกองทุนฯ เป็นงบประมาณที่มีวงเงินจำกัดตามกฎหมาย ไม่ว่าผู้ป่วยจะมาใช้บริการมากหรือน้อย งบประมาณที่จัดสรรก็มีเท่าเดิม
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีแผนจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมจากแหล่งอื่น เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของสถานพยาบาล พร้อมย้ำว่า สิ่งสำคัญคือการตรวจสอบข้อมูลการเบิกจ่ายว่าเป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่
ผมสั่งการให้ตั้งทีมตรวจสอบข้อมูลการเบิกงบจาก สปสช.เพื่อความโปร่งใส เพราะบางกรณีที่มีการเข้าใจผิดว่าไม่มีงบพอ อาจเกิดจากการเบิกเกิน แล้วถูกทวงเงินคืน จึงเข้าใจผิดว่าระบบไม่มีเงิน ซึ่งสร้างความสับสนไปทั่วประเทศ
รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า หากพบว่าสถานพยาบาลใดบริหารจัดการได้ดี จะพิจารณานำผู้บริหารจากโรงพยาบาลขนาดใหญ่มาช่วยบริหารโรงพยาบาลขนาดเล็ก เพื่อยกระดับการจัดการ
วันนี้มีโรงพยาบาลประมาณ 10 แห่งที่ให้ข้อมูลมาแล้ว ผมเชื่อว่าสถานการณ์นี้สามารถแก้ไขได้ ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงทุกฝ่ายร่วมมือและปฏิบัติตามกติกา
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ยังมีแนวคิดที่จะส่งเสริมให้โรงพยาบาลในสังกัดสามารถหารายได้จากแหล่งอื่นนอกเหนือจากงบประมาณภาครัฐ โดยพิจารณาตัวอย่างจากโรงพยาบาลศิริราชที่มี “ศิริราชปิยมหาราชการุณย์” ซึ่งเป็นหน่วยบริการทางเลือกที่เปิดให้ผู้ป่วยสามารถชำระค่ารักษาเองได้
ทั้งนี้ จะมีการหารือร่วมกับผู้บริหารระดับรองอธิบดีเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำแนวทางลักษณะนี้มาปรับใช้กับสถานพยาบาลในสังกัดกระทรวง โดยคาดว่าจะมีการเสนอแนวทางดังกล่าวในที่ประชุมผู้บริหารครั้งถัดไป เพื่อผลักดันให้กระทรวงสามารถก้าวเดินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายสมศักดิ์ ยังระบุว่า ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งมากว่า 1 ปี มีโครงการที่เสนอไว้แล้วถึง 345 โครงการ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จแม้แต่โครงการเดียว ซึ่งถือว่าไม่อาจปล่อยให้ล่าช้าต่อไปได้ หากบุคลากรในกระทรวงไม่สามารถดำเนินการได้ ก็พร้อมพิจารณาหาคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดสร้างสรรค์และกล้าคิดนอกกรอบเข้ามาขับเคลื่อนแทน พร้อมยืนยันให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่หากยังคงดำรงตำแหน่งอยู่
อ่านข่าว : สธ.ย้ำป่วยโควิด-19 ไม่ต้องหยุดงาน-เรียน ให้ใส่แมสก์-เลี่ยงกลุ่มเสี่ยง